สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม หลายฝ่ายมองว่าสงครามการค้าครั้งนี้คล้ายคลึงกับ "สงครามโลกครั้งที่สามในมิติทางเศรษฐกิจ" แม้จะไม่มีเสียงปืนหรือความสูญเสียทางกายภาพ แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกลับเทียบได้กับสงครามที่แท้จริง ตลาดที่เคยเชื่อมโยงกันอย่างเหนียวแน่นกลับกลายเป็นสนามรบที่เต็มไปด้วยอุปสรรค
สหรัฐต้องการที่จะลดการขาดดุลทางการค้ากับประเทศจีน และรวมไปถึงเรื่องของการว่างงานในสหรัฐ ซึ่งการเพิ่มกำแพงภาษีในมุมมองทรัมป์คือการเพิ่มการจ้างงานในสหรัฐ
หากพิจารณาถึงสถานการณ์โลกปัจจุบัน นานาประเทศเห็นว่านโยบายการค้าเป็นกลไกหนึ่งสำหรับการต่อรองเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองด้วย
สงครามการค้าสหรัฐ-จีน: ใครจะยอมอ่อนข้อนั่งเจรจาก่อนกัน ?
อันที่จริง ผมคิดว่าอาจเป็นการเข้าใจผิดก็ได้ที่จะบอกว่า ทรัมป์จุดชนวนสงครามการค้าโลก ถ้าจะให้ถูกกว่านั้นควรพูดว่า ทรัมป์ได้ปลดปล่อยความอลหม่านโกลาหลด้วยการทำลายระบบการค้าโลกลงกับมือ โลกทั้งใบจะเป็นผู้จ่ายราคาแพง
ส่องประวัติสงครามการค้า สหรัฐฯ - ต่างชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน
เครดิตภาพ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เห็นว่าสหรัฐฯ ประสบปัญหาดุลการค้าที่เสียเปรียบกับหลายประเทศ เช่น สงครามการค้า จีน เม็กซิโก และแคนาดา โดยมีความเชื่อว่าการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากประเทศเหล่านี้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและการจ้างงานภายในประเทศ
นอกเหนือจากการลดการขาดดุลทางการค้า ทรัมป์ยังต้องการจำกัดการถ่ายโอนเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาไปยัง บริษัทที่จีน ทำให้เป็นสาเหตุของการเกิดสงครามการค้า
'ทูตญี่ปุ่น' เปิดใจ หนุนไทย-กัมพูชาหยุดยิง ไม่อยากเห็นอาเซียนถอยหลัง
และในเวลานี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ เริ่มการบริหารประเทศสมัยที่สอง และเขาประกาศมาตรการภาษีกับหลายประเทศ รวมทั้ง จีน เเคนาดาและเม็กซิโก
เพราะฝั่งยุโรปเองก็ตอบโต้ทันที ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน
สงครามการค้าโลกรอบใหม่เริ่มขึ้น หลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน, แคนาดา, และเม็กซิโก
และผลลัพธ์สุดท้าย มันอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ใหญ่ขนาดที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน หรือจินตนาการได้
นอกจากนี้ หากประเทศ A ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากประเทศ B ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ B ก็จะสูญเสียตลาดส่งออกในประเทศ A ซึ่งทำให้รายได้ลดลง และอาจต้องลดการผลิตหรือลดจำนวนพนักงานนั่นเอง